เมนู

ฯ ล ฯ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบจตุริตถีวิมาน

อรรถกถาจตุริตถีวิมาน


จตุริตถีวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น จตุริตถี
วิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ท่านพระมหา-
โมคคัลลานะเมื่อจาริกไปเทวโลก ได้ไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเห็น
เทพธิดา 4 องค์ มีอัปสรเป็นบริวารองค์ละหนึ่งพัน เสวยทิพยสมบัติอยู่
ในวิมาณ 4 หลัง ซึ่งตั้งเรียงกันอยู่ในดาวดึงส์นั้น เมื่อจะถามถึงกรรมที่
เทพธิดาเหล่านั้นทำไว้ในปางก่อน จึงถามตามลำดับ [ เรียงตัว ] ด้วย
คาถาเหล่านี้ว่า
ดูราเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม เปล่งรัศมีสว่าง
ไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร
ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลอันนี้จึงสำ
เร็จแก่ท่าน โภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูราเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถาม
ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไร เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และมี
รัศมีสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดาแม้นั้นได้พยากรณ์ เรียงตัวต่อจากคำถามของพระเถระนั้น
เพื่อจะแสดงความนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวคาถานี้ว่า
เทวดานั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้.

เล่ากันว่า ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เทพธิดาเหล่า
นั้นเกิดในครอบครัวผู้มีอันจะกินในนครปัณณกตะ ในรัฐซึ่งมีชื่อว่าเอสิกะ
ครั้นเจริญวัยแล้ว ไปมีสามีอยู่ร่วมพร้อมเพรียงกันในนครนั้นนั่นแหละ
บรรดานางเหล่านั้น นางหนึ่งเห็นภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร [ถือปิณฑ-
ปาติกธุดงค์] รูปหนึ่ง มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายดอกราชพฤกษ์กำหนึ่ง
อีกนางหนึ่งไค้ถวายดอกบัวขาบกำมือหนึ่งแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง นางหนึ่ง
ได้ถวายดอกบัวหลวงกำมือหนึ่งแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง อีกนางหนึ่งได้ถวาย
ดอกมะลิตูมแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ต่อมานางเหล่านั้นตายไปบังเกิดในสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์ มีอัปสรเป็นบริวารพันหนึ่ง เทพธิดาเหล่านั้นเสวยทิพยสมบัติ
อยู่จนตลอดอายุในดาวดึงส์นั้น จุติจากดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเวียนว่ายไป ๆ
มา ๆ อยู่ในดาวดึงส์นั้นแหละ ด้วยเศษวิบากแห่งกรรมนั้นเอง แม้ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ ก็ได้เกิดในดาวดึงส์นั้นอีก ถูกท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ถามปัญหาตามนัยที่กล่าวแล้ว.
บรรดาเทพธิดาทั้งสี่นั้น เทพธิดาองค์หนึ่งเมื่อจะบอกถึงบุญกรรม
ที่ตนทำ ตอบว่า
ดีฉันได้ถวายดอกราชพฤกษ์กำมือหนึ่ง แก่ภิกษุ
ผู้เที่ยวบิณฑบาตในนครปัณณกตะ ซึ่งตั้งอยู่บนเนิน
เป็นนครชั้นดี น่ารื่นรมย์ของแคว้นเอสิกะ ด้วยบุญนั้น

ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนั้น ด้วยบุญนั้น ผลอันนี้จึง
สำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่
ดีฉัน เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้
และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดาอีกองค์หนึ่งตอบว่า
ดีฉันได้ถวายดอกบัวขาบกำมือหนึ่ง แก่ภิกษุ
ผู้เที่ยวบิณฑบาตในนครปัณณกตะ ซึ่งตั้งอยู่บนเนิน
เป็นนครชั้นดีน่ารื่นรมย์ของแคว้นเอสิกะ ด้วยบุญนั้น
ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ ด้วยบุญนั้น ผลอันนี้จึงสำเร็จ
แก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน
เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
รัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดาอีกองค์หนึ่งตอบว่า
ดีฉันได้ถวายดอกบัวหลวงกำมือหนึ่ง ซึ่งมีราก
ขาวกลีบเขียว เกิดในสระน้ำ แก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑ-
บาตในนครปัณณกตะ ตั้งอยู่บนเนิน เป็นนครชั้นดี
น่ารื่นรมย์ของแคว้นเอสิกะ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึง
มีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้น. ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่
ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน
เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
รัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดาอีกองค์หนึ่งตอบว่า

ดีฉันชื่อสุมนา เจ้าค่ะ มีจิตงาม ได้ถวายดอก
มะลิตูม มีสีดังงาช้าง แก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตใน
นครปัณณกตะ ซึ่งตั้งอยู่บนเนิน เป็นนครชั้นดี น่า
รื่นรมย์ของแคว้นเอสิกะ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมี
วรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสว
ไปทุกทิศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อินฺทีวรานํ หตฺถกํ ได้แก่ ดอกราชพฤกษ์
กำมือหนึ่ง คือ กำดอกไม้ที่มีคุณสมบัติกำจัดโรคลม. บทว่า เอสิกานํ
ได้แก่ เอสิกรัฐ.
บทว่า อุณฺณตสฺมึ นคเร วเร ได้แก่ ในนครอันอุดมซึ่งตั้งอยู่
ในภูมิประเทศที่เป็นเนิน โดดเด่น ด้วยปราสาทและเรือนยอดเป็นต้น
ซึ่งสูงขึ้นรูปเป็นชั้น ๆ ดังกะเสียดก้อนเมฆ.
บทว่า ปณฺณกเต ได้แก่ ในนครซึ่งมีชื่ออย่างนั้น.
บทว่า นีลุปฺปหตฺถกํ ได้แก่ กำดอกบัวธรรมดา.
บทว่า โอทาตมูลกํ ได้แก่ มีรากขาว. ท่านกล่าวหมายเอากำดอก
บัวหลวงที่กล่าวแล้ว เพราะมีเหง้าขาวสะอาด ด้วยเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่า
หริตปตฺตํ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หริตปตฺตํ ได้แก่ มีกลีบเขียว อธิบายว่า
ธรรมดากลีบนอกของดอกบัวหลวงที่กลีบตูมยังไม่หลุด ย่อมมีสีเขียวโดย
แท้. บทว่า อุทกสฺมึ สเร ชาตํ ความว่า เกิดในน้ำในสระ อธิบายว่า
ขึ้นในสระ.
บทว่า สุมนา คือ เทพธิดามีชื่ออย่างนั้น. บทว่า สุมนสฺส

ได้แก่ มีจิตงาม. บทว่า สุมนมกุลานิ แปลว่า มะลิดอกตูม. บทว่า
ทนฺตวณฺณานิ ได้แก่ มีสีเสมือนงาช้างที่ขัดใหม่เอี่ยม.
เมื่อเทพธิดาทั้ง 4 นั้น กล่าวถึงกรรมที่ตนการทำแล้วอย่างนี้
พระเถระก็ได้กล่าวอนุปุพพิกถา แล้วประกาศอริยสัจแก่เทพธิดาเหล่านั้น
จบอริยสัจ เทพธิดาเหล่านั้นทั้งหมดพร้อมกับบริวาร ได้เป็นพระโสดาบัน.
พระเถระกลับมามนุษยโลก กราบทูลเรื่องนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรง
แสดงธรรมโปรดบริษัทที่ประชุมกัน พระธรรมเทศนานั้นได้เป็นประ-
โยชน์แก่มหาชนแล.
จบอรรถกถาจตุริตถีวิมาน

8. อัมพวิมาน


ว่าด้วยอัมพวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[46] สวนมะม่วงทิพย์ของท่านน่ารื่นรมย์ ใน
สวนนี้มีปราสาทหลังใหญ่กึกก้องไปด้วยดนตรีต่าง ๆ
เจื้อยแจ้วไปด้วยหมู่เทพอัปสร อนึ่ง ในปราสาทนี้มี
ประทีปทองดวงใหญ่สว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ปราสาท
ของท่านแวดล้อมด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นผ้า โดยรอบ
ด้วยบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ด้วยบุญอะไรจึง
สำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่
ท่าน.